ชีวิตต่อมา ของ ฮิโรโอะ โอโนดะ

หลังจากกลับญี่ปุ่นแล้ว โอโนดะได้รับความนิยมเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นบางคนอยากให้เขาเป็นสมาชิกรัฐสภา เขาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ "ไม่เคยยอมแพ้ สงครามสามสิบปีของข้าพเจ้า" ("No Surrender: My Thirty-Year War") บรรยายชีวิตของเขาในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่กองโจรตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่นแม้ว่าสงครามจะยุติไปนมนานแล้วก็ตาม หนังสือดังกล่าวยังระบุว่า โอโนดะเองไม่ชอบใจนักที่ตนเองเป็นจุดสนใจ และไม่ชอบใจวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เขามองว่าลดคุณค่าประเพณีญี่ปุ่น หนังสือเช่นว่าได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ชื่อว่า "สู้สุดขีด" และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1980 (พ.ศ. 2523)[3]

ในเดือนเมษายน 1975 เขาละญี่ปุ่นไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ในบราซิล เขาแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นชื่อ มาจิเอะ (Machie) ในปีถัดมา ครั้นปี 1980 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ฆ่าบิดามารดาตนเอง เขาตัดสินใจกลับประเทศแม่ในอีกสี่ปีถัดมา แล้วจัดค่ายทางการศึกษาสำหรับเยาวชน เรียก "โรงเรียนธรรมชาติของโอโนดะ" (Onoda Shizen Juku) ต่อมา เขาได้เป็นผู้นำชุมชนด้วย[4]

ในปี 1996 โอโนดะเยือนเกาะลูบังอีกครั้ง เขาอุทิศเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียนท้องถิ่น ในปี 2006 มาจิเอะ โอโนดะ ภริยาของเขา ได้เป็นนายิกาสมาคมสตรีญี่ปุ่น[5]

แต่ละปี เขาจะเดินทางกลับไปใช้ชีวิตสามเดือนในบราซิล เขายังได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซาตูส-ดูมง" (Santos-Dumont) จากกองทัพอากาศบราซิลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 ด้วย[6]

ฮิโรโอะ โอโนดะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557 ที่กรุงโตเกียว ด้วยโรคปอดบวม[7]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฮิโรโอะ โอโนดะ http://www.fab.mil.br/Publicacao/Imprensa/Noticias... http://history1900s.about.com/library/weekly/aa120... http://www.damninteresting.com/?p=253 http://www.japanprobe.com/?p=734 http://www.primitiveways.com/jungle_30_years.html http://www.toulo.com/product/ProductDetail.asp?Pro... http://www.wanpela.com/holdouts/profiles/onoda.htm... http://search.japantimes.co.jp/cgi-bin/fl20070116j... http://www.onodashizenjuku.or.jp/ http://www.thairath.co.th/content/oversea/397170